วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

สี่เผ่าศรีสะเกษ


การแต่งกายและศิลปวัฒนธรรมชนสี่เผ่าชาวศรีสะเกษ




เผ่าส่วย    

การแต่งกาย   

       ผู้ชายจะแต่งกายด้วยเสื้อคอกลมผ่าหน้า   นุ่งโสร่งสีสันต่าง ๆ หรือกางเกงขาก๊วยสั้น ผ้าขาวม้าคาดเอวหรือคล้องไหล่   ผู้หญิงจะนุ่งผ้าถุงมีเชิงหรือไม่มี กระดุมทำด้วยเงิน เสื้อแขนกระบอกสีสันต่าง ๆ ผ้าเบี่ยงเป็นผ้าขาวม้าหรือผ้าลายลูกแก้วสีครีมดำ           

 ศิลปวัฒนธรรม          

       ขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมของชาวส่วย ในปัจจุบันมีลักษณะใกล้เคียงกับขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมชาวไทยอีสานและชาวเขมร   อาจแตกต่างจากชาวไทยอีสานบ้าง แต่ไม่เด่นชัดมากนัก   ที่เด่นชัดคือมีภาษาพูดและการนับเลขเป็นของตัวเอง แต่ไม่มีอักษรและตัวเลขของตนเอง   นอกจากนี้ยังมีประเพณียะจั๊วะ (บางหมู่บ้านเรียกว่าผีฟ้าผีแถน) 









เผ่าเขมร   


                                                                                การแต่งกาย                          

      
 ลักษณะการแต่งกายของคนพื้นเมืองเขมร   ชายแต่งกายด้วยเสื้อคอกลมผ่าหน้า   นุ่งโสร่งสีสันต่าง ๆ   ผ้าขาวม้าคาดเอวหรือคล้องไหล่   ผ้าขาวม้าที่ใช้ลาย
ขาวดำเล็กกว่าที่คนพื้นเมืองลาวใช้    ส่วนผู้หญิงจะแต่งกายด้วยการนุ่งผ้าถุงลายตั้งมีเชิงตามขวางสองชั้น   ชั้นบนกว้างชั้นล่างแคบระหว่างรอยต่อคาดด้วยสีแดง เสื้อดำย้อมด้วยมะเกลือ   แขนกระบอกรัดรูปตามรอยตะเข็บถักด้วยสีต่าง ๆ   ชายเสื้อผ่าทั้งสองด้านยาวประมาณ ๖ นิ้ว   กระดุมทำด้วยเงิน   ผ้าคล้องไหล่มีสีสันต่างๆ ผ้าคล้องคอนิยมหย่อนชายผ้าขาวมาข้างหน้า 



ศิลปวัฒนธรรม                          

       - กันตรึม   ป็นวงดนตรีพื้นเมืองที่นำทำนองจังหวะ   ตีโทนโจ๊ะคะครึม ครึม มาเป็นชี่อวงดนตรี เรียกว่า “กันตรีม” ซึ่งหมายถึงโทนนั่นเอง ทำนองเพลงของวงกันตรึมเป็นแม่บทของเพลงพื้นเมือง และการละเล่นพื้นเมืองอื่น ๆ ของชาวเขมร กันตรึมนิยมเล่นในงานมงคลต่าง ๆ เช่น งานแต่งงาน โกนจุกบวชนาค ตลอดจนงานเทศกาลต่าง ๆ ในสมัยโบราณนั้น งานแต่งงานจะต้องมีวงกันตรึม เล่นกล่อมหอจนถือเป็นประเพณี เครื่องกันตรึม มี โทน ๑ คู่  ปี่อ้อ ๑ เลา ปี่ใน ๑ เลา ฉิ่ง ๑ คู่ กรับ ๑ คู่ และฉาบ ๑ คู่ ผู้เล่นโดยทั่วไปมี ๔ คน จะเป็นชายหรือหญิงก็ได้ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นชาย ส่วนผู้หญิงมีหน้าที่ร้องและรำไปตามจังหวะเพลง การแต่งกายตามสบาย หากจะแต่งตามประเพณีนิยมของท้องถิ่นก็ได้ เช่น ผู้ชายใส่เสื้อคอกลม นุ่งผ้าโจงกระเบน ผ้าขาวม้าคาดเอว ส่วนผู้หญิงนุ่งผ้าซิ่น ใส่เสื้อรัดรูปแขนกระบอกของวงกันตรึมเป็นแม่บทของเพลงพื้นเมือง และการละเล่นพื้นเมืองอื่น ๆ ของชาวเขมร กันตรึมนิยมเล่นในงานมงคลต่าง ๆ เช่น งานแต่งงาน โกนจุก บวชนาค ตลอดจนงานเทศกาลต่าง ๆ ในสมัยโบราณนั้น งานแต่งงานจะต้องมีวงกันตรึม เล่นกล่อมหอจนถือเป็นประเพณี เครื่องกันตรึม มี โทน ๑ คู่ ปี่อ้อ ๑ เลา ปี่ใน ๑ เลา ฉิ่ง ๑ คู่ กรับ ๑ คู่ และฉาบ ๑ คู่ ผู้เล่นโดยทั่วไปมี ๔ คน จะเป็นชายหรือหญิงก็ได้ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นชาย ส่วนผู้หญิงมีหน้าที่ร้องและรำไปตามจังหวะเพลง การแต่งกายตามสบาย หากจะแต่งตามประเพณีนิยมของท้องถิ่นก็ได้ เช่น ผู้ชายใส่เสื้อคอกลม นุ่งผ้าโจงกระเบน ผ้าขาวม้าคาดเอว ส่วนผู้หญิงนุ่งผ้าซิ่น ใส่เสื้อรัดรูปแขนกระบอก                          
        - ตุ้มโมง
   เป็นดนตรีพื้นเมืองที่ใช้บรรเลงในงานศพโดยเฉพาะ เครื่องดนตรีมีฆ้องหุ่ย ๑ ใบ เป็นเครื่องดนตรีนำ ชาวเขมรถือว่าเสียงฆ้องหุ่ยเป็นเสียงแห่งความเศร้าโศก เป็นอัปมงคล ในเรื่องของการตายนั้นจะต้องใช้เสียงฆ้องตี เพื่อบอกให้เพื่อนบ้านรู้และถือว่าเสียงอันเยือกเย็นของฆ้องหุ่ยนั้น อาจจะช่วยนำดวงวิญญาณของผู้ตายขึ้นไปสู่สวรรค์ได้ การตีฆ้องหุ่ย จะตีเป็นระยะเวลานาน นอกจากนี้จะมีกลองเพลขนาดใหญ่ ๑ใบ ปี่ไฉน ๑ เลา ถ้าหาปี่ไฉนไม่ได้ก็จะใช้ปี่อ้อแทน แล้วยังมีฆ้องวงอีก ๑ วง ตุ้มโมงนี้มีทำนองการขับร้องเช่นเดียวกับเพลงกันตรึม ผู้เล่นปกติมี ๔ คน คือ คนตีฆ้องหุ่ยและกองเพล๑ คน คนเป่าปี่ ๑ คน คนตีฆ้องวง ๑ คน คนร้อง ๑ คน การแต่งกายตามสบาย ตามธรรมเนียมนิยมไปงานศพของเขมรแห่งความเศร้าโศก เป็นอัปมงคล ในเรื่องของการตายนั้นจะต้องใช้เสียงฆ้องตี เพื่อบอกให้เพื่อนบ้านรู้และถือว่าเสียงอันเยือกเย็นของฆ้องหุ่ยนั้น อาจจะช่วยนำดวงวิญญาณของผู้ตายขึ้นไปสู่สวรรค์ได้ การตีฆ้องหุ่ย จะตีเป็นระยะเวลานาน นอกจากนี้จะมีกลองเพลขนาดใหญ่ ๑ใบ ปี่ไฉน ๑ เลา ถ้าหาปี่ไฉนไม่ได้ก็จะใช้ปี่อ้อแทน แล้วยังมีฆ้องวงอีก ๑ วง ตุ้มโมงนี้มีทำนองการขับร้องเช่นเดียวกับเพลงกันตรึม ผู้เล่นปกติมี ๔ คน คือ คนตีฆ้องหุ่ยและกองเพล ๑ คน คนเป่าปี่ ๑ คน คนตีฆ้องวง ๑ คน คนร้อง ๑ คน การแต่งกายตามสบาย ตามธรรมเนียมนิยมไปงานศพของเขมร                          
        - เจรียง ซันตุจ
   แปลว่าร้องตกเบ็ด เป็นการร้องเล่นในงานเทศกาลต่างๆ หรืองานบวชนาค ซึ่งส่วนมากจะจัดในงานวัด หนุ่ม ๆ ที่มาร่วมงานจะรวมกันเป็นกลุ่มและหาคันเบ็ดมา ๑ คัน เหยื่อใช้ขนมข้าวต้มมัด ผลไม้ ผูกเป็นพวง วิธีการตกเบ็ดนั้น ที่ไหนมีกลุ่มหญิงสาวนั่งรวมกันอยู่กลุ่มหนุ่ม ๆ ก็จะพากันร้องรำทำเพลง ผู้ถือคันเบ็ดเป็นผู้ร้องเพลงเอง ถ้าชอบหญิงสาวคนไหนเหยื่อก็จะหย่อนเบ็ดให้เหยื่อไปอยู่หน้าสาวคนนั้น หากสาวรีบร้บเหยื่อไปก็แสดงว่ารับรัก หลังจากเสร็จงานแล้วฝ่ายหนุ่มก็จะส่งผู้ใหญ่ไปสู่ขอตามประเพณีต่อไปเป็นกลุ่มและหาคันเบ็ดมา ๑ คัน เหยื่อใช้ขนมข้าวต้มมัด ผลไม้ ผูกเป็นพวง วิธีการตกเบ็ดนั้น ที่ไหนมีกลุ่มหญิงสาวนั่งรวมกันอยู่กลุ่มหนุ่ม ๆ ก็จะพากันร้องรำทำเพลง ผู้ถือคันเบ็ดเป็นผู้ร้องเพลงเอง ถ้าชอบหญิงสาวคนไหนเหยื่อก็จะหย่อนเบ็ดให้เหยื่อไปอยู่หน้าสาวคนนั้น หากสาวรีบร้บเหยื่อไปก็แสดงว่ารับรัก หลังจากเสร็จงานแล้วฝ่ายหนุ่มก็จะส่งผู้ใหญ่ไปสู่ขอตามประเพณีต่อไป                          
        - เรือมตรต
   แปลว่ารำตรุษ ใช้เล่นกันในวันสงกรานต์ เครื่องดนตรีมีโทน ๑ คู่ เป็นหลัก นอกจากนี้ก็มีกันแชร์ ซึ่งได้แก่เครื่องดนตรีให้จังหวะ และมีซอ๑ คัน ขลุ่ย ๑ เลา กรับ ๑ คู่ และฉิ่ง ๑ คู่ ผู้เล่นไม่มีกำหนดว่าจะเป็นชายหรือหญิง ส่วนการแต่งกายนั้นตามสบาย จะแต่งให้สวยงามหรือตลกก็ได้ ในวงรำนั้นมีหัวหน้ากลอนเป็นผู้ร้องนำ จะจะบทเก่า ๆ หรือแต่งขึ้นเองก็ได้ เนื้อร้องส่วนใหญ่เป็นบทอวยพรเจ้าของบ้านในวันขึ้นปีใหม่ของไทย ต่อจากนั้นจะเป็นบทยกย่องชมเชยเจ้าบ้านหรือบทเกี้ยวพาราสี ผู้ที่มีหน้าที่สำคัญในคณะรำตรุษคือหัวหน้าตรุษ ซึ่งเป็นผู้ได้รับความนับถือจากคนในหมู่บ้าน จะเป็นผู้พาคณะรำตรุษไปตามบ้านเรือนในหมู่บ้าน เมื่อไปถึงบ้านใด ถ้าได้รับเชิญขึ้นบ้าน เจ้าของบ้านจะต้อนรับตามธรรมเนียม ในโอกาสนี้หัวหน้าตรุษก็จะขอให้เจ้าของบ้านช่วยบริจาคเงิน สิ่งของ นำไปบำรุงวัดหรือสาธารณะประโยชน์ในหมู่บ้าน รำตรุษนั้นจะรำอยู่ที่ลานบ้านจนกว่าหัวหน้าตรุษจะลาเจ้าของบ้านเดินทางไปบ้านอื่นต่อไป เมื่อร้องรำไปทั่วหมู่บ้านหรือกำหนดไว้แล้วว่าอาจจะเป็นหนึ่งวันหรือหลายวันก็ได้ หัวหน้าตรุษก็จะนำสิ่งของและเงินทองที่ชาวบ้านบริจาค ไปให้ผู้หลักผู้ใหญ่หรือถวายเจ้าอาวาส เพื่อนำไปบำเพ็ญสาธารณะประโยชน์ต่อไป๑ คัน ขลุ่ย ๑ เลา กรับ ๑ คู่ และฉิ่ง ๑ คู่ ผู้เล่นไม่มีกำหนดว่าจะเป็นชายหรือหญิง ส่วนการแต่งกายนั้นตามสบาย จะแต่งให้สวยงามหรือตลกก็ได้ ในวงรำนั้นมีหัวหน้ากลอนเป็นผู้ร้องนำ จะจะบทเก่า ๆ หรือแต่งขึ้นเองก็ได้ เนื้อร้องส่วนใหญ่เป็นบทอวยพรเจ้าของบ้านในวันขึ้นปีใหม่ของไทย ต่อจากนั้นจะเป็นบทยกย่องชมเชยเจ้าบ้านหรือบทเกี้ยวพาราสี ผู้ที่มีหน้าที่สำคัญในคณะรำตรุษคือหัวหน้าตรุษ ซึ่งเป็นผู้ได้รับความนับถือจากคนในหมู่บ้าน จะเป็นผู้พาคณะรำตรุษไปตามบ้านเรือนในหมู่บ้าน เมื่อไปถึงบ้านใด ถ้าได้รับเชิญขึ้นบ้าน เจ้าของบ้านจะต้อนรับตามธรรมเนียม ในโอกาสนี้หัวหน้าตรุษก็จะขอให้เจ้าของบ้านช่วยบริจาคเงิน สิ่งของ นำไปบำรุงวัดหรือสาธารณะประโยชน์ในหมู่บ้าน รำตรุษนั้นจะรำอยู่ที่ลานบ้านจนกว่าหัวหน้าตรุษจะลาเจ้าของบ้านเดินทางไปบ้านอื่นต่อไป เมื่อร้องรำไปทั่วหมู่บ้านหรือกำหนดไว้แล้วว่าอาจจะเป็นหนึ่งวันหรือหลายวันก็ได้ หัวหน้าตรุษก็จะนำสิ่งของและเงินทองที่ชาวบ้านบริจาค ไปให้ผู้หลักผู้ใหญ่หรือถวายเจ้าอาวาส เพื่อนำไปบำเพ็ญสาธารณะประโยชน์ต่อไป                          
        - เรือมอันเร
   แปลว่า รำสาก สมัยก่อนเรียกว่า ลูตอันเร เล่นกันในวันหยุดสงกรานต์ ซึ่งเรียกว่า “วันต๊อม” ชาวเขมรถือว่าวันขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๕ เป็นวันขึ้นปีใหม่ทางจันทรคติ ชาวเขมรจะพากันหยุดงาน ๓ วัน ตั้งแต่วันขึ้น ๑ ค่ำ ถึงวันขึ้น ๓ ค่ำ เดือน ๕ เพื่อพักผ่อนและไปทำบุญที่วัด พอถึง วันขึ้น ๑๔ค่ำ จะมีพิธีก่อภูเขาทรายตามวัดวาอารามต่าง ๆ ทั่วไป รุ่งขึ้นวันขึ้น ๑๕ค่ำ มีการทำบุญตักบาตร และจาก วันแรม ๑ค่ำ เป็นต้นไป ตามประเพณีให้หยุดงาน ๗ วันจึงเป็นการเปิดโอกาสให้หนุ่มสาวที่รักใคร่ชอบพอกันได้พบกันด้วยการละเล่นพื้นบ้าน เครื่องดนตรี  มีโทน ๑ คู่ ปี่อ้อ ๑เลา ปี่ไฉน ๑เลา ซออู้ ขนาดกลาง๑คัน ตะโพน ๑ใบ ฉิ่ง ๑คู่ กรับ ๑คู่ ฉาบ ๑คู่ ผู้รำไม่จำกัดจำนวน ส่วนผู้เล่นดนตรีปกติมี ๔คน ส่วนการแต่งกาย ในสมัยก่อนไม่พิถีพิถัน แต่งกายตามสบายหากจะให้สวยงามก็จะแต่งตามประเพณีนิยมคือ ผู้ชายนุ่งผ้าโจงกระเบน สวมเสื้อคอกลมแขนสั้น ผ้าขาวม้าคาดเอว 1 ผืน คล้องคอปล่อยชายไปข้างหลังอีก๑ผืน ส่วนผู้หญิง จะนุ่งผ้าไหมปูม ภาษาเขมรเรียกว่า “ซัมป๊วตโฮล” เสื้อแขนกระบอก มีผ้าสไบห่าง ๆ พาดทับเสื้ออีกชั้นหนึ่ง นอกจากนั้นยังมีเครื่องประดับอื่นๆ อีกขึ้นปีใหม่ทางจันทรคติ ชาวเขมรจะพากันหยุดงาน ๓ วัน ตั้งแต่วันขึ้น ๑ ค่ำ ถึงวันขึ้น ๓ ค่ำ เดือน ๕ เพื่อพักผ่อนและไปทำบุญที่วัด พอถึง วันขึ้น ๑๔ค่ำ จะมี พิธีก่อภูเขาทรายตามวัดวาอารามต่าง ๆ ทั่วไป รุ่งขึ้นวันขึ้น ๑๕ค่ำ มีการทำบุญตักบาตร และจาก วันแรม ๑ค่ำ เป็นต้นไป ตามประเพณีให้หยุดงาน ๗ วัน จึงเป็นการเปิดโอกาสให้หนุ่มสาวที่รักใคร่ชอบพอกันได้พบกันด้วยการละเล่นพื้นบ้าน เครื่องดนตรี  มีโทน ๑ คู่ ปี่อ้อ ๑เลา ปี่ไฉน ๑เลา ซออู้ ขนาดกลาง ๑คัน ตะโพน ๑ใบ ฉิ่ง ๑คู่ กรับ ๑คู่ ฉาบ ๑คู่ ผู้รำไม่จำกัดจำนวน ส่วนผู้เล่นดนตรีปกติมี ๔คน ส่วนการแต่งกาย ในสมัยก่อนไม่พิถีพิถัน แต่งกายตามสบาย หากจะให้สวยงามก็จะแต่งตามประเพณีนิยมคือ ผู้ชายนุ่งผ้าโจงกระเบน สวมเสื้อคอกลมแขนสั้น ผ้าขาวม้าคาดเอว 1 ผืน คล้องคอปล่อยชายไปข้างหลังอีก๑ผืน ส่วนผู้หญิง จะนุ่งผ้าไหมปูม ภาษาเขมรเรียกว่า “ซัมป๊วตโฮล” เสื้อแขนกระบอก มีผ้าสไบห่าง ๆ พาดทับเสื้ออีกชั้นหนึ่ง นอกจากนั้นยังมีเครื่องประดับอื่นๆ อีก                          
        - รำแม่มด
   ผู้หญิงเริ่มพิธีแสดง ๑คน มีเครื่องบวงสรวง เครื่องเซ่นไหว้ ได้แก่ ดอกไม้ เหล้า ข้าวต้มมัด และเครื่องใช้อื่นๆ มีผู้ร่วมแสดงประมาณ ๑๐คนขึ้นไป ผู้ชายเล่นดนตรีประกอบ เครื่องดนตรี มีกลอง แคน ขลุ่ย ฉิ่ง กรับ และพิณ รำแม่มดนิยมเล่นกันในท้องถิ่นอำเภอขุขันธ์ อำเภอขุนหาญ และอำเภอกันทรลักษ์ เดิมในอำเภอดังกล่าวนิยมเล่นเจรียง กันตรึม อาไย และกระโน้บติงตอง ในปัจจุบันไม่นิยมเล่นมากนัก และการแสดงเหล่านี้ก็มีวิวัฒนาการแตกต่างไปจากเดิมขึ้นไป ผู้ชายเล่นดนตรีประกอบ เครื่องดนตรี มีกลอง แคน ขลุ่ย ฉิ่ง กรับ และพิณ รำแม่มดนิยมเล่นกันในท้องถิ่นอำเภอขุขันธ์ อำเภอขุนหาญ และอำเภอกันทรลักษ์ เดิมในอำเภอดังกล่าวนิยมเล่นเจรียง กันตรึม อาไย และกระโน้บติงตอง ในปัจจุบันไม่นิยมเล่นมากนัก และการแสดงเหล่านี้ก็มีวิวัฒนาการแตกต่างไปจากเดิม







เยอ   
การแต่งกาย   

       ผู้ชายจะนุ่งโสร่งหรือผ้าสีต่าง ๆ เป็นโจงกระเบน มีผ้าขาวม้าคาดเอวหรือคล้องไหล่ เครื่องประดับมีสร้อยคอรูปแบบต่าง ๆ ส่วนผู้หญิงจะแต่งกายด้วย
เสื้อแขนกระบอกคอกลมหรือคอตั้งสีสันต่าง ๆ นุ่งผ้าถุงโจงกระเบน มีเสื้อสีสันต่าง ๆ แต่ไม่มีลวดลายอยู่ด้านใน มีตุ้มหูเป็นเครื่องประดับที่สำคัญ


การผสมผสานกลมกลืนทางวัฒนธรรม     

       การแต่งงานข้ามเผ่าพันธุ์ในกลุ่มชาวเยอนี้มีมาตั้งแต่อดีต มีการแต่งงานระหว่างชาวเยอกับชาวเขมร ชายเยอกับชาวลาว ชาวเยอกับชาวส่วยและ
ชาวเยอกับชายไทยเชื้อสายมอญแถบพระประแดงในอดีต อย่างไรก็ตามชาวเยอยังนิยมแต่งงานระหว่างชาวเยอด้วยกัน เพราะพูดกันรู้เรื่อง ในสมัย
ปัจจุบันนี้มีการแต่งงานข้ามเผ่าพันธุ์มากมายหลากหลายทั้งเชื้อชาติและจำนวน เช่น เขมร ไทยอีสาน ไทยภาคกลาง ไทยภาคใต้ รวมทั้งคนจีน เป็นต้น








ลาว
   
การแต่งกาย 
 
     
  ผู้ชายแต่งกายด้วยกางเกงผ้าฝ้ายขากระบอก เสื้อผ้าฝ้ายคอกลม ผ้าขาวม้าคาดเอว ส่วนผู้หญิงนุ่งผ้าซิ่น เสื้อแขนกระบอกคอกลมหรือกระโจมอก

ศิลปวัฒนธรรม     
       - ฟ้อนกลองตุ้ม
   เป็นศิลปะการฟ้อนรำพื้นเมืองตามหมู่บ้านต่าง ๆ ของอำเภอกันทรารมย์ อำเภอกันทรารมย์เป็นอำเภอเดียวของจังหวัดศรีสะเกษที่มีการแสดงการฟ้อนกลองตุ้ม การฟ้อนรำชนิดนี้จะเป็นการแสดงของชาวจังหวัดยโสธรและจังหวัดอุบลราชธานี ชาวบ้านจะทอเครื่องแต่งกายและฝึกฟ้อนรำกันเอง หญิงชายจะฟ้อนเป็นคู่ไม่จำกัดจำนวน การฟ้อนจะฟ้อนถอยหลัง ใช้ประกอบขบวนแห่บั้งไฟ (ขบวนเซิ้งบั้งไฟ) ในเดือน ๖ของทุกปีดนตรีที่ใช้มีกลองตุ้มและพวงฮาด     
       - ฟ้อนงูกินเขียด
   เป็นการฟ้อนรำอิสระ ผู้ฟ้อนไม่ว่าหญิงหรือชาย หนุ่มสาวหรือเด็ก ๆ จะเกาะเอวต่อกันเหมือนงูกินหาง ไม่จำกัดจำนวน การฟ้อนรำไม่กำหนดท่าฟ้อนแน่นอน ผู้รำถือไต้หรือคบไฟ เดินคดเคี้ยวไปมาและร้องโต้ตอบกันอย่างสนุนกสนาน การฟ้อนรำชนิดนี้นิยมเล่นกันตอนพลบค่ำหลังจากเสร็จสิ้นขบวนแห่บั้งไฟแล้ว            
        - มโหรีชาวบ้าน
   มีผู้เล่นประมาณ ๕-๑๐คน ดนตรีที่ใช้มีซออู้ ซอด้วง ปี่ ขลุ่ย กลองตุ้ม ฉิ่ง ฉาบ และกรับ ในการบรรเลงมีปี่เดินทำนอง ดนตรีอื่นประกอบและให้จังหวะ อาจนั่งเล่นเป็นวงหรือเดินแห่เหมือนขบวนพาเหรดก็ได้ นิยมเล่นในท้องถิ่นอำเภออุทุมพรพิสัย
       - วงปี่พาทย์และมโหรี   มีทั้งปี่พาทย์เครื่อง ๕และเครื่อง ๗และอาจผสมเป็นวงมโหรีได้ด้วย มีลีลาการบรรเลงเพลงไทยไพเราะ แต่มีลีลาผสมแบบพื้นเมืองอยู่ด้วย วงปี่พาทย์นี้นิยมเล่นโขนของชาวอำเภอขุขันธ์                  - หนังตะลุง   ชาวบ้านเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า หนังปราโมทัย มีที่บ้านเพียมาต อำเภอราษีไศล จังหวัดศรีสะเกษ ตัวหนังย้อมสีสันสวยงาม การเล่นมีบทไหว้ครู มีบทร้องพากย์ มีดนตรีประกอบ มีตลกแบบอีสานเข้าผสมผสานด้วย
       - หมอลำแคน   จังหวัดศรีสะเกษเป็นเขตกันชนระหว่างวัฒนธรรมอีสานเหนือกับอีสานใต้ จึงมีศิลปะการแสดงประเภทหมอลำรวมอยู่ด้วย มีทั้งหมอลำคู่หมอลำหมู่ หมอลำชิงชู้ หมอลำเพลิน และหมอลำประเภทอื่น ๆ เช่น เกี่ยวกับการแสดงหมอลำของเขตอีสานเหนือ หมอลำนี้จะมีในท้องถิ่นที่มีชาวลาวอาศัยอยู่ เช่น อำเภอกันทราราย์ อำเภอเมือง เป็นต้น
       - บายศรีสู่ขวัญ   จัดว่าเป็นพิธีมีเกียรติยิ่ง เป็นการเรียกขวัญต้อนรับหรืออวยชัยให้พรแก่ผู้ที่ควรเคารพหรือคู่แต่งงาน หรือในโอกาสที่บุคคลภายในบ้านได้รับราชการ ได้เป็นเจ้าคนนายคน หรือได้รับตำแหน่งสูงขึ้น เครื่องบายศรีทำด้วยใบตองเย็บเป็นเชิง แซมด้วยดอกไม้ต่าง ๆ พร้อมทั้งธูปเทียนบนโตกหรือพาน มีด้ายสายสิญจน์ใส่พาน พร้อมด้วยเหล้า ๑ ขวด ไก่ต้ม ๑ ตัว ไข่ต้ม ๑ ฟอง เมื่อผู้รับบายศรีมานั่งพร้อมเพรียงกันแล้ว พราหมณ์ก็จะสวดเรียกขวัญให้ศีลให้พร แล้วก็มีการผูกข้อมือเช่นเดียวกับบายศรีแต่งงาน
       - ประเพณีลงแขก   เรียกว่า วานหรือขอแรง ประเพณีนี้มีมานานแล้ว ปัจจุบันนี้ยังคงมีอยู่ เช่น ขอแรงเกี่ยวข้าว นวดข้าว ช่วยปลูกสร้างบ้านเรือน เป็นต้น เมื่อใครจะมีการทำงานดังกล่าวแล้ว ก็จะเที่ยวบอกขอแรงแก่บรรดามิตรสหายหรือญาติพี่น้องให้ช่วย มีธรรมเนียมประเพณีอยู่ว่า เมื่อเจ้าภาพออกปากไหว้วานแล้ว ชาวบ้านใกล้เคียงก็จะรีบเป็นธุระมาช่วยกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตากันทันที ทั้งนี้เจ้าภาพไม่ต้องเสียค่าจ้างหรือค่าแรงงานแต่อย่างใด แต่เจ้าภาพจะต้องหาสุรา และอาหารไว้รับรองเลี้ยงแขกให้เต็มที่เท่านั้น
       - ประเพณีบุญบั้งไฟ   เป็นประเพณีอย่างหนึ่ง ซึ่งถือเป็นพิธีขอฝน เป็นการทำบุญประจำปี การทำบุญบั้งไฟนี้ ตำบลหรือหมู่บ้านที่เป็นศูนย์กลางหรือเจ้าภาพ จะมีการแจ้งฎีกาไปยังหมู่บ้านข้างเคียง บอกกำหนดการทำบุญ หมู่บ้านที่ได้รับฎีกาก็จะจัดทำบั้งไฟ โดยเจ้าอาวาสวัดเป็นหัวหน้าจัดหาช่างที่ชำนาญมาผสมดินประสิวสำหรับทำบั้งไฟ บั้งไฟมี ๓ขนาด คือ บั้งไฟธรรมดา มีน้ำหนักดินประสิวไม่เกิน ๑๒กิโลกรัม บั้งไฟหมื่น มีน้ำหนักดินประสิวเกิน ๑๒กิโลกรัมขึ้นไป (๑หมื่นเท่ากับ ๑๒กิโลกรัม) และบั้งไฟแสน มีน้ำหนักดินประสิว ๑๒๐กิโลกรัมขึ้นไป ต้องใช้เวลาทำประมาณ ๑เดือน เมื่อทำบั้งไฟ เสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็จะมีการตกแต่งประดับประดาด้วยกระดาษสีสันสวยงาม เมื่อถึงวันนัดรวม ซึ่งตามภาษาชาวบ้านเรียกว่า “วันโฮม” หมู่บ้านต่าง ๆ ก็จะแห่บั้งไฟของตนมายังหมู่บ้านที่แจ้งฎีกา โดยไปให้ถึงก่อนเพล แล้วร่วมกันทำบุญเลี้ยงพระก่อน ตอนบ่ายมีการแห่เซิ้งรวมกันทุกหมู่บ้านไปรอบ ๆ หมู่บ้าน และชาวบ้านเจ้าภาพนั้นก็จะต้อนรับขบวนแห่เซิ้งด้วยเหล้า ตอนเย็นก็จะนำไปรวมกัน มีมหรสพฉลอง เช่น หมอลำและฟังเทศน์รุ่งเช้าก็แห่ไปยังฐานที่จุดบั้งไฟ ซึ่งอยู่นอกหมู่บ้าน การจุด ถ้าเป็นบั้งไฟหมื่นลงมาก็จะขึ้นไปจุดเลย ถ้าเป็นบั้งไฟแสน ก็จะใช้บั้งไฟม้าขึ้นไปจุดชนวนเพราะเกรงว่าจะเป็นอันตรายแก่ผู้จุด ถ้าบั้งไฟขึ้นสูงและขึ้นกันเป็นส่วนใหญ่ก็จะเป็นเครื่องพยากรณ์ว่า ฝนฟ้าในปีนี้จะดี ข้าวปลาอาหารอุดมสมบูรณ์ถ้าบั้งไฟหมู่บ้านใดไม่ขึ้นหรือขึ้นไม่สูง คณะผู้จัดทำต้องถูกจับโยนลงน้ำหรือโคลน หรือถูกปรับไหมด้วยเหล้าและนำไปเลี้ยงกันเป็นที่สนุกสนาน
       - รำผีฟ้า   เป็นการแสดงท่าทางฟ้อนรำประกอบพิธีกรรมโบราณของชาวอีสาน ซึ่งมีหลงเหลืออยู่บ้างในปัจจุบัน พิธีกรรมมีจุดมุ่งหมายคือเป็นการรักษาคนป่วยแบบโบราณ รำผีฟ้าเป็นการรำที่แสดงออกซึ่งความเชื่ออย่างหนึ่งของคนอีสาน จึงไม่ใช่การละเล่นหรือการแสดงเพื่อความสนุกสนานบันเทิงใจตามที่ปรากฏอยู่ทั่วไป แต่เป็นการรำเพื่อบูชาเทพเจ้าที่ชาวอีสานเคารพนับถือ ชาวอีสานเชื่อกันว่า พระยาแถนเป็นผู้สร้างมนุษย์ให้เกิดมาและควบคุมความเป็นไปของมนุษย์ทุกอย่างเมื่อเจ็บไข้ได้ป่วย จึงเชื่อกันว่าเกิดจากการดลบันดาลของพระยาแถน ชาวอีสานนิยมทำพิธีอ้อนวอนให้พระองค์โปรดปรานคนป่วย ผู้ทำพิธีนี้ คือหมอลำผีฟ้า หมอลำผีฟ้าจะทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการติดต่อกับพระยาแถนและญาติผู้ป่วยหรือผู้ป่วย ผู้ที่เป็นหมอลำผีฟ้าอาจจะเป็นหญิงสาวหรือหญิงชรา ซึ่งจะต้องมีความสามารถในการ “รำ” ด้วย เพราะการรำนั้นเป็นวิธีการติดต่อสื่อสารกับพระยาแถน โดยจะต้องมีหมอแคนเป่าแคนประกอบทำนองรำของหมอลำผีฟ้า ข้อความในการรำนั้นจะเป็นการบูชาพระยาแถน ขอความอนุเคราะห์ให้ช่วยรักษาคนเจ็บ เมื่อติดต่อแล้วก็จะมีการออกท่าทางฟ้อนรำ เรียกการฟ้อนรำนั้นว่า “รำผีฟ้า” การออกท่าทางฟ้อนรำ นอกจากหมอผีจะเป็นผู้ฟ้อนรำแล้ว บางทีก็มีบริวารของหมอลำผีฟ้าร่วมฟ้อนรำด้วย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น